การเลี้ยงปลาบู่
ชื่อวิทยาศาสตร์ Oxyeleotris marmoratus
ชื่อสามัญ Sand goby
ชื่อไทย ปลาบู่
ลักษณะทั่วๆไป
ของปลาบู่ทรายจะมีลักษณะลำตัวกลม ยาวส่วนหัวค่อนข้างแบนใหญ่และเรียวลงไปตามส่วนจนถึงหาง
มีปากที่กว้างทางด้านบน มุมปากเฉียงลงยาวถึงระดับเดียวกันกับกึ่งกลางหางตา มีขากรรไกรล่างยาวกว่าเขากรรไกรบน
ที่บริเวณด้านบนของขากรรไกร จะมีฟันเป็นซี่ ๆ ขนาดเล็กแหลมคมเรียงต่อกันเป็นแถวเดียว
ที่บริเวณคอหอยจะมีฟันซี่เล็ก ๆ ๔ ส่วน บริเวณข้างลำตัวจะมีจุดสีดำลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม
ข้าวหลามตัดจากฐานครีบหลังลายยาวลงมาตามลำตัวทั้งสองข้าง มีประมาณ ๔ - ๕ แถบ
สีของลำตัวเป็นสีน้ำตาลปนเทา ส่วนบนของหัวมีจุดสีดำประปราย ด้านท้องมีลักษณะสีขาวจาง
ๆ ส่วนหลังและด้านข้าง ลำตัวจะมีสีขาวปนเหลืองหรือสีเหลืองอ่อน ๆ ข้างลำตัวและที่ครีบทุกครีบจะมีลายดำพาดหางยกเว้นครีบหางจะมีสีน้ำตาลเกือบดำลักษณะของตา
ตาปลาบู่ทรายจะโปนออกอยู่ทางด้านบนของหัว ระหว่างตาและริมฝีปากมีรูจมูกสองคู่ โดยคู่หน้ามีลักษณะเป็นหลอดยื่นมาติดกับร่อง
ที่แบ่งปากและริมฝีปากด้านบน ส่วนคู่หลังอยู่ค่อนขึ้นไปทางด้านบนของตา ลักษณะครีบ ครีบกลมใหญ่ มี ก้านครีบเล็ก ๆ ๑๕ ก้าน
ครีบหูมีสีดำสลับขาว ครีบหลังแบ่งเป็น ๒ ส่วน ส่วนที่หนึ่งมีก้านครีบ ๖ ก้าน
ส่วนที่สองตอนท้ายมีก้านครีบ ๑๐ ก้าน ครีบอกมีก้านครีบ ๑๘ ก้าน
ครีบก้นมีก้านครีบรวม ๙ ก้าน ครีบหางมีลักษณะกลม มีก้านครีบ ๑๕ - ๑๖ ก้าน
ครีบท้องอยู่ในแนวเดียวครีบหู สำหรับครีบกันอยู่ในแนวเดียวกับด้านท้ายของครีบหลัง
ลักษณะของเกล็ด มี ๒ ลักษณะเกล็ดกลมขอบเรียวจะอยู่ส่วนหัวของ
ปลาส่วนเกล็ดทีมีปลายเป็นหนามอยู่บริเวณลำตัว เส้นข้างของลำตัวจะมีเกล็ดอยู่ประมาณ
๗๐ - ๙๐ เกล็ด
แหล่งที่อยู่อาศัย ปลาบู่ทรายจัดเป็นปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในตระกูล
ของปลาบู่ด้วยกัน มีแหล่งที่อยู่อาศัยทั่ว ๆ ไป ในเกาะสุมาตรา บอร์เนียว มาเลเซีย
และ ประเทศไทย
สำหรับในประเทศไทยพบปลาบู่ทรายอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วทุกภาค
ทั้งในแม่น้ำ ลำคลอง อ่างเก็บน้ำทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก การเจริญเติบโตและแพร่ขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว
แทบทุกแห่ง อาทิ อ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น อ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรีตามลำน้ำเจ้าพระยา
ท่าจีน บางปะกง ซึ่งจากการวิเคราะห์คุณสมบัติของน้ำตามแหล่งที่อยู่อาศัย ที่พบแล้วสรุปได้ว่าปลาบู่ทรายอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำสะอาด
ที่มีคุณสมบัติดังนี้
ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำ
๓ ส่วนในล้าน
- ความเป็นด่าง ๓๕ ส่วนในล้าน
-
ความกระด้าง ๒๓ - ๑๖๔ ส่วนในล้าน
- ความเป็นกรดด่าง ๖.๓ ๘.๖
นิสัยการกินอาหาร ปลาบู่ทรายจัดเป็นปลาที่กินสัตว์เป็นอาหาร
ซึ่งอาหาร ที่ปลาบู่ทรายชอบกินนั้นได้แก่ลูกปลา กุ้งแมลงในน้ำ หอย ฯลฯ มักจะชอบหลบอาศัยในดินอ่อน
หรือตามซอกหินโพรงไม้ถึงแม้ว่าปลาบู่ทรายจะกินปลา ลูกกุ้ง เป็นอาหารแต่โดยลักษณะนิสัยแล้วปลาบู่ทรายไม่
ดุร้ายเมื่อเทียบกับปลาช่อนหรือปลาชะโดโดยปกติแล้วจะอยู่กับที่นิ่ง ๆ เมื่อเหยื่อผ่านหน้าจึงจะงับกินเป็นอาหาร
ถึงแม้ว่าปลาบู่ทราย จะดูว่าเป็นปลาที่เชื่องช้าแต่จะมีความว่องไวมากเมื่อสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น
นิสัยในการกินอาหารของปลาบู่วัยต่างๆ
แตกต่างกัน เช่น ในช่สงที่ฟักออกจากต่อจากนั้นจะกินแพลงก์ตอนสัตว์ ที่มีขนาดเล็กที่ปลาสามารถกินได้หลังจากนั้นจะกินกุ้งและปลาเป็นตามลำดับ
การเลี้ยงปลาบู่ทราย
การเลี้ยงปลาบู่ทรายเดินจะรวบรวมได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติเป็น ส่วนใหญ่แต่มาในระยะหลังความต้องการของผู้บริโภคมีมาก
ประกอบกับปลาบู่เป็นปลาที่ราคาแพงและเป็นที่ต้องการของ ตลาดต่างประเทศ จึงมีผู้สนใจเลี้ยงกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันโดยมี
การทดลองเลี้ยงกันในบ่อและในกระชัง
การเลี้ยงปลาบู่ทรายในบ่อ
จากผลการทดลองในบ่อเลี้ยงปลาบู่ของเอกชนหลาย รายจะพอสรุปเป็นแนวทางได้ดังนี้
๑.บ่อปลาควรตั้งอยู่ในแหล่งที่มีการถ่ายเทน้ำได้สะดวกและ
มีน้ำตลอดปีความลึกของบ่อประมาณ ๑.๕๐ เมตร
๒.การปล่อยปลาลงเลี้ยงไม่ควรปล่อยเกิน ๑ ตัวต่อตารางเมตรในการเลี้ยงปลาบู่ชนิดเดียวและลด
อัตราส่วนลงตามสมควรเลี้ยงรวมกันกับปลาชนิดอื่น และขนาดปลาเมื่อเริ่มเลี้ยงควรมีขนาดใกล้เคียงกันโดยทั่วไปมีขนาดประมาณ
๑๐๐ กรัม
๓.อาหารของปลาบู่ควรเป็นอาหารสดคาว เช่น ลูกกุ้ง ลูกปลา
หรือปลาสดสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ
๔.การให้อาหารควรให้อาหารเป็นเวลาและ
อัตราการให้อาหารควรอยู่ระหว่าง ๓ - ๕ เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว
๕.ระยะเวลาของการเลี้ยงไม่ควรเกิน ๑๒ เดือน
ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการจัดหาลูกปลาลงปล่อยในครั้งต่อไป
๖.อัตราการเจริญเติบโตของปลาที่เลี้ยงในบ่อควรมีค่า
เฉลี่ยเดือนละประมาณไม่ต่ำกว่า ๓๐ กรัม จึงนับว่าได้ผลดี
๗.การจับปลาบู่ออกจากบ่อ ควรจับให้หมดภายในครั้งเดียว ทั้งนี้เพื่อเป็นการประหยัดค่า
ใช้จ่ายในกรณีที่ต้องการสูบน้ำออกจากบ่อและเพื่อป้องกันปลาที่เหลือบอกช้ำ
ความแตกต่างระหว่างเพศและพฤติกรรมการวางไข่ของปลาบู่
ลักษณะความแตกต่างระหว่างเพศโดยภายนอกแล้วจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้ชัด
หากต้องการดูเพศปลาบู่ทรายจะต้องดูที่เครื่องเพศของปลา โดยจับปลาหงายท้องขึ้นแล้วสังเกตดูจากลักษณะดังจะกล่าวต่อไปนี้
ปลาเพศผู้
จะมีอวัยวะอยู่ถัดจากช่องทวารมาทางด้านหางเป็นแผ่นของ
ดิ่งเนื้อขนาดเล็กปลายเรียวแหลมและมีรูซึ่งเป็นทางออกของน้ำเชื้อ
ปลาเพศเมีย ก็จะมีแผ่นเนื้อเช่นเดียวกันแต่มีขนาดใหญ่กว่ามากและตอนปลาย
ของอวัยวะเพศไม่แหลมแต่มีรูขนาดใหญ่ซึ่งเป็นทางออกของไข่
การผสมพันธุ์วางไข่ในธรรมชาติ
ในธรรมชาติปลาบู่ทรายจะเริ่มการวางไข่เมื่อย่าง เข้าสู่เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมโดยปลาบู่เพศผู้ที่มีความยาว
๑๔.๕ เซนติเมตร และมีน้ำหนัก ๔๔ กรัมขึ้นไปเพศเมียมีความยาว ๑๒.๕ เซนติเมตรหนัก ๓๔
กรัมขึ้นไป จะสามารถผสมพันธุ์กันได้โดยระบบสืบพันธุ์มี ความพร้อมตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงฤดูวางไข่จะสังเกตได้
ว่าติ่งเพศจะมีสีแดงเข้มทั้งเพศผู้เพศเมีย
ความดกของไข่ ปลาบู่ทองมีรังไข่แบบสองพู
(bilobed) จากการนับจำนวน ไข่โดยวิธีสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบความยาวลำตัวและน้ำหนัก
รังไข่พบว่าปลามีความยาวมาตรฐาน ๑๕.๒ เซนติเมตร มีน้ำหนักรังไข่ ๑.๖ กรัม จำนวนไข่ทั้งสิ้น
๖,๘๐๐ ฟอง และปลาที่มีความยาว ๒๑.๕ เซนติเมตรน้ำหนักรังไข่
๔.๗ กรัมมีไข่จำนวน ๓๖,๐๐๐ ฟอง ซึ่งความแตกต่างของจำนวนไข่ส่วนใหญ่จะแปรผันไปตามขนาดของปลาเป็นสำคัญ
นิสัยการวางไข่ ปลาบู่ทราย
สามารถที่จะทำการแพร่ขยายพันธุ์ได้ในน้ำจืดทั่วไป โดยไข่และน้ำเชื้อผสมกันภายนอกตัวปลา
(external fertilization) และแม่ปลาจะวางไข่ติดกับวัสดุต่างๆ
ในน้ำ เช่น เสาไม้ ตอไม้ โพรงไม้ ก้อนหิน ในตอนเช้าตรู่การวางไข่จะเริ่มจากตัว ผู้จะเริ่มทำความสะอาดรังเพื่อให้มีความเหมาะสมและจะชักตัวเมียให้เข้ารัง
หลังจากนั้นไม่นานตัวเมียมีความเคยชินกับสภาพก็จะเริ่มวางไข่ให้ติดกับวัตถุ เมื่อไข่ออกมาตัวผู้ก้จะฉีดน้ำเชื้อเข้าผสมช่วงเวลาในการวางไข่นั้นจะ
ขึ้นอยู่กับจำนวนไข่ที่มีอยู่ในท้องปลาตัวเมียภายหลังจากวางไข่เสร็จ แล้วตัวผู้ก็จะไล่ตัวเมียออกจากรัง
ส่วนตัวเองก็จะเฝ้าไข่ตลอดเวลาโดยใช้ครีบหูที่มีขนาดใหญ่พัด โบกไปมา เพื่อการไหลเวียนของน้ำตลอดเวลา
ไข่ปลาบู่เป็นไข่ติดรูปร่างยาวรีปลายมนมีเม็ดน้ำมันมากที่อุณหภูมิ ๒๕ - ๒๗ องศาเซลเซียส
ไข่ปลาบู่ทรายจะใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ ๒ - ๘ ชั่วโมง
โรคและพยาธิของปลาบู่ (Diseases and
Parasites)
เนื่องจากการเลี้ยง ปลาบู่ทรายส่วนใหญ่เป็นการเลี้ยงในกระชังจึงทำให้ปัญหาปลาตายน้อย
เพราะโรคระบาดมีไม่มากเหมือนปลาชนิดอื่นที่เลี้ยงในบ่อ แต่ถึงอย่างไรก็ดี การเลี้ยงปลาในกระชังโดยทั่วไปจะลอยกระชังบริเวณเดียวกัน
เป็นจำนวนมาก ซึ่งถ้าเกิดโรคระบาดแล้วจะทำให้ติดกันได้ ง่ายและยากแก่การควบคุม
ดังเช่น ครั้งแรกปรากฏที่จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อปี ๒๕๒๓ เป็นผลให้ปลาบู่ตายเป็นจำนวนมาก
และปลาที่เหลือรอดอยู่ขายได้ราคาต่ำกว่าปกติ ต่อมาได้ศึกษา เกี่ยวกับชนิดของพยาธิที่พบในปลาบู่ทรายซึ่งรวบรวมจากแหล่งธรรมชาติ
จำนวน ๒๔๐ ตัว ในการตรวจสอบจากส่วนต่างๆ ของลำตัว เช่น ใต้ซอกเกล็ด ช่องจมูก ปาก เหงือก
และจากเมือก ฯลฯ พบพยาธิทั้งสิ้น ๑๐ ชนิด เป็นพวกโปรโตซัว พยาธิตัวแบน
พยาธิหัวหนาม และ Isopob อย่างละ ๑ ชนิด อย่างละ ๑ ชนิด พยาธิตัวกลม
๓ ชนิด และ Copepod ๒ ชนิด ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
๑.Saprolegnia sp. ปลาที่มีเชื้อราชนิดนี้เข้าทำลายจะมีอาการอ่อนเพลียว่ายน้ำลอย
หัวหลังจากนั้นไม่กี่วันก็จะตายปลาที่ตายด้วยเชื้อราดังกล่าวจะสังเกต ได้โดยผิวหนังขาดเหมือนถูกน้ำลวกเกิดบาดแผลบางครั้งแผลลึกถึงกระดูก
ถ้าเป็นบริเวณโคนครีบอาจทำให้ครีบหลุดหายได้ปลาที่มีเชื้อ Saprolegnia เกาะจะมองเห็นเป็นกลุ่มสีน้ำตาลคล้ายพุ่มไม้ขนาดเล็กมีแขนงมากมายรวมกันเป็น
กระดูก โดยที่ส่วนหนึ่งฝังลึกเข้าไปในเนื้อเยื่อของปลาทำให้เกิดบาดแผล เชื้อราชนิดนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
๒. Henneguya sp. เป็นพวกโปรโตซัวที่มีการขยายพันธุ์โดยสปอร์
พบเข้าเกาะที่เหงือกปลาบู่ทรายเป็นจำนวนมาก โดยเซลล์ของเหงือกปลาจะสร้างเมือกออกมาหุ้มสปอร์นั้นไว้โดยรอบเมื่อมองด้วย
ตาเปล่า จะเป็นจุดสีเทาหรือขาวขุ่นอยู่ระหว่างซี่เหงือก รูปร่างของ สปอร์มีลักษณะเป็นกระสวยขนาดเล็กมีฝา
ซึ่งเป็นสารพวกไคติน ๒ ฝา ประกอบกันอยู่คล้ายของกระจกนาฬิกา ๑ คู่
ทางปลายด้านหน้ามีแคปซูลรูปไข่ ๒ หาง Henneguya sp. ที่พบในปลาบู่ทรายมีขนาด
เล็กมากเมื่อเทียบกับที่พบจากแหล่งอื่น พยาธิชนิดนี้พบมากและพบตลอดเวลาที่ทำการศึกษา
๓.Dactylogyrus sp. เป็นพยาธิจำพวกพยาธิตัวแบน
พบเกาะบริเวณซี่เหงือก ปลาเช่นเดียวกัน ตัวมีขนาดเล็กมากเมื่อขยายตัวกล้องจุลทัศน์จะพบว่าลำตัวใสไม่มี
การเกาะจะใช้อวัยวะที่เรียกว่า opishator ซึ่งมีลักษณะเป็นถ้วยตรงกลางมีข้อใหญ่
๑ คู่ ตามธรรมชาติพยาธิชนิดนี้ไม่ค่อยพบว่าทำอันตรายแก่ปลามากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลาขนาดใหญ่
นอกจากจะทำให้เกิดความระคายเคือง แต่ในสถานะเพาะฟักลูกปลา
ถ้ามีพยาธิเข้าเกาะลูกปลา ถ้ามีพยาธิเข้าเกาะลูกปลามาก ๆ จะทำให้ลุกปลาตาได้ พยาธิชนิดนี้พบสม่ำเสมอตลอดเวลาแต่มีปริมาณไม่มากนัก
๔.Camallanus sp. เป็นพยาธิตัวกลมพบอยู่ในทางเดินอาหารลำตัวเต็มวัย
มีลักษณะยาวเรียว เป็นทางกระบอก มองด้วยตาเปล่าจะเห็นเป็นเส้นด้ายสีแดงสั้น ๆ
ความยาวประมาณ ๕ มิลลิเมตร กว้าง ๐.๔๓ มิลลิเมตร ปากกว้างแต่ไม่มีริมฝีปาก
ตัวอ่อนของ Camallanus นอกจากจะเป็นพยาธิของปลาแล้วยังเป็นพยาธิของ
Copepod และ Crustacean อื่น ๆ
อีกพยาธิชนิดนี้พบเป็นบางเดือนเท่านั้น
๕.Spintectus sp. เป็นพยาธิตัวกลมพบในทางเดินอาหารลำตัวเป็นรูปทรง
กระบอกขดเป็นวงกลม ผิวหนังเป็นหนามแหลมยาว แถวรอบลำตัวตามขวาง แถวที่ ๑– ๘ มีหนาม แถวละ ๒๔ - ๒๘ อัน ส่วนแถวต่อไปจะมีหนามไม่ต่ำกว่า ๓๐
อันแต่เห็นไม่ค่อยชัดเจนเหมือน ๘ แถว ปากเป็นรูป ทรงกระบอกแต่ไม่มีริมฝีปากพยาธิชนิดนี้พบเป็นจำนวนมากเกือบตลอดปี
ตัวอ่อนของ Spintectus เป็นพยาธิพบในตัวอ่อนแมลงชีปะขาว
๖.Unknown Cyst. เป็น Cyst ของพยาธิตัวกลมฝังอยู่ในกระเพาะอาหาร และลำไส้บางส่วนโดยขดเป็นวงกลมและมีเยื่อบางๆ
หุ้มอยู่เมื่อเขี่ยให้เยื่อให้ขาดออกจะพบว่าตัวพยาธิที่มีรูปร่างทรงกระบอก หัวแหลมท้ายแหลม
ส่วนหัวมีส่วนหยักตรงกลางคล้ายริมฝีปาก พยาธิชนิดนี้พบไม่มากนักและพบเป็นครั้งคราวเท่านั้น
๗.Pallisentis sp. เป็นพยาธิตัวกลมพบในลำไส้ ลำตัวมีสีขาวขุ่นแบ่งเป็น
๒ ส่วน คือ ส่วนหน้ามีงวงที่ยืดหดและมีหนามโดยรอบทำหน้าที่ยึดเกาะ ลำไส้ของปลาส่วนของลำตัวจะมีผนังหนาขึ้น
โดยมีความกว้างและความยาวมากกว่าส่วนหน้า ปลายหางมนกลมและมีทวารหนักอยู่ปลายสุด พยาธิชนิดนี้พบตลอดปีแต่มีปริมาณไม่มากนัก
๘.Lemaea sp. รู้จักในชื่อหนอนสมอชอบเกาะทำลายบริเวณลำตัว
คนครีบและในช่องปากของปลาที่มีหนอนสมอเกาะมาก ๆ จะอ่อนแอเกิดโรคได้ง่าย ๆและเมื่อหนอนสมอหลุดออกแล้วจะเกิดบาดแผลขึ้นทำให้เชื้อโรคอื่น
ๆ เข้าทำลายได้ง่ายรูปร่างลักษณะมีลำตัวยาวเรียว ผิวหนังเรียบไม่มีปล้องส่วนที่เรียกว่าสมออยู่ถัดจาก
ส่วนหน้าสุดของลำตัวเข้ามาเล็กน้อย มีลักษณะเป็นเยื่อบาง ๆ รูปร่างยาวรีกายในถุงจะ
มีไข่เป็นจำนวนมากพยาธิชนิดนี้พบอย่างสม่ำเสมอเกือบตลอดปี
๙.Ergasils sp. พบเฉพาะตัวเมียเกาะเหงือกปลาบู่
รูปร่างคล้าย พวก Cyclop แต่พบน้อยมาก
๑๐. Aega sp. เป็นพวก Isopod เกาะที่บริเวณส่วนหัวของปลา และพบน้อยมากเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังพบว่าปลาบู่ที่ตายส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นแผลบริเวณข้างลำตัว
ซึ่งมีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย Aoromonas hydrophila สำหรับการรักษาโรคนี้โดยทั่วไป
เกษตรกรนิยมใช้วิธีผสมยาปฏิชีวะลงในอากาศที่เลี้ยงในปลาบู่แต่ไม่ค่อยได้ผล นัก เพราะปลายู่มีนิสัยกินอาหารช้าประกอบกับการเลี้ยงปลาบู่เป็นการเลี้ยงใน
กระชังที่มีน้ำไหล จึงทำให้ยาละลายหายไปกับน้ำเสียเป็นส่วนใหญ่