วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ลักษและที่อยู่อาศัยของปลาบู่


ปลาบู่
ปลาบู่ หรือบู่ทราย บู่จาก บู่ทอง บู่เอื้อย บู่สิงโต  มี ชื่อสามัญว่า Sand Goby, Marbled Sleepy Goby และชื่อวิทยาศาสตร์ Oxyleotris mamorata Bleeker ปลาบู่เป็นปลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่งซึ่งผลผลิตส่วนใหญ่ถูกส่ง ออกไปจำหน่ายต่างประเทศสามารถ ทำรายได้เข้าประเทศแต่ละปีมีมูลค่าหลายสิบล้านบาท ได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ฯลฯ เนื่องจากความต้องการปลาบู่ทรายจากต่างประเทศมีเพิ่มขึ้นทุก ปีเป็นผลให้ปลาบู่ทรายมีราคาแพงขึ้น ในอดีตการเลี้ยงปลาบู่ทรายนิยมเลี้ยงกันมากในกระชังแถบลุ่มน้ำและลำน้ำ สาขาบริเวณภาคกลาง  ตั้งแต่จังหวัดนคร สวรรค์ อุทัยธานี เรื่อยมาจนถึงจังหวัดปทุมธานี โดยมีจังหวัดนครสวรรค์ เป็นแหล่งเลี้ยงส่งออกที่ใหญ่ที่สุด สำหรับปัญหาการเลี้ยงปลาบู่ทรายขณะนี้มี 3 ประการ คือ
                 1. พันธุ์ปลาที่นับวันจะหายาก ไม่เพียงพอต่อความต้องการ
                 2. ผู้เลี้ยงยังขาดความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการเพาะเลี้ยง
                 3. สภาพสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง ไม่เอื้ออำนวยต่อการเพาะเลี้ยงปลา 


รูปร่างลักษณะ
               ปลาบู่ทรายมีลักษณะลำตัวกลมยาว ความลึกลำตัวประมาณ 1 ใน 3.5 ของความยาวมาตรฐานของลำตัว ส่วนหัวยาวเป็น 1 ใน 2.8 ของความ ยาวมาตรฐานของลำตัว หัวค่อนข้างโตและด้านบนของหัวแบนราบหัวมีจุดสีดำประปรายปากกว้างใหญ่เปิดทาง ด้านบนตอนมุมปากเฉียงลงและยาวถึงระดับ กึ่งกลางตา ขากรรไกรล่างยื่นยาวกว่าขากรรไกรบน ทั้งขากรรไกรบนและล่างมีฟันแหลมซี่เล็ก ๆ ลักษณะฟันเป็นแบบฟันแถวเดียว ลูกตาลักษณะโปนกลมอยู่ บนหัวถัดจากริมฝีปากบนครีบหูและครีบหาง มีลักษณะกลมมนใหญ่มีลวดลายดำสลับขาว มีก้านครีบอ่อนอยู่ 15 - 16 ก้าน ครีบหลัง 2 ครีบ ครีบอันหน้าสั้น เป็นหนาม 6 ก้าน เป็นก้านครีบสั้นและเป็นหนาม ครีบอันหลังเป็นก้านครีบอ่อน 11 ก้าน ครีบท้องหรือครีบอกอยู่แนวเดียวกับครีบหูและมีก้านครีบอ่อน 5 ก้าน ครีบอกของปลาบู่ ใน Subfamily Eleotrinae แยกจากกันอย่างสมบูรณ์ ซึ่งแตกต่างจากปลาบู่ชนิดอื่น ในครอบครัว Gobiidaeซึ่งมีครีบท้องติดกันเป็น รูปจาน ครีบก้นอยู่ในแนวเดียวกับครีบหลัง อันที่สอง มีก้านครีบอ่อน 7 ก้าน และมีความยาวครีบเท่ากับครีบหลังอันที่สอง ส่วนของครีบมีลายสีน้ำตาลดำแดง สลับขาวเป็นแถบ ๆ และมีจุดสีดำกระจายอยู่ทั่วไป ลำตัวมีเกล็ดแบบหนามคล้ายซี่หวีและมีแถบสีดำขวางลำตัว 4 แถบ ด้านท้องมีสีอ่อน สีตัวของปลาบู่ทราย แตกต่างกันไปตามถิ่นที่อยู่อาศัย
                ปลาบู่ทรายจัดเป็นปลาขนาดกลางและเป็นปลาชนิดเดียวในครอบ ครัวนี้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ปกติมีขนาดประมาณ 30 เซนติเมตร เคยพบยาว ถึง 60 เซนติเมตร
           
การแพร่กระจาย                ปลาบู่ทราย เป็นปลาที่เราสามารถพบได้ทั่วไปในน้ำจืดและน้ำกร่อยเล็กน้อยในหลายประเทศโดย เฉพาะในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหมู่ เกาะมลายู ได้แก่ บอร์เนียว เกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย มาเลเซีย จีน ไทย สำหรับในประเทศไทย พบปลาบู่ขยายพันธุ์ทั่วไปตามแม่น้ำลำคลอง และสาขาทั่วทุก ภาคตามหนองบึง และ อ่างเก็บน้ำต่าง ๆ เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา ปากน้ำโพ บึงบอระเพ็ด แม่น้ำลพบุรี แม่น้ำท่าจีน อ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น อ่างเก็บน้ำลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา อ่างเก็บน้ำสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ อ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี อ่างเก็บน้ำเขื่อนบางลาง จังหวัดยะลา จังหวัด สุโขทัย จังหวัดพิจิตร จังหวัดพิษณุโลก และทะเลน้อย จังหวัดสงขลา

แหล่งที่อยู่อาศัย
                ปลาบู่ทรายเป็นปลากินเนื้อที่ชอบอยู่นิ่ง ๆ ตามดินอ่อน พื้นทรายและ หลบซ่อนตามก้อนหิน ตอไม้ เสาไม้ รากหญ้าหนา ๆ เพื่อรอให้เหยื่อผ่าน มาแล้วเข้าโจมตีทันทีด้วยความรวดเร็ว ปลาบู่ทรายพบทั้งในน้ำจืดและน้ำกร่อยเล็กน้อยลูกปลาบู่ทรายชอบซ่อนตัวบริเวณ รากพืชพันธุ์ไม้น้ำ พวกรากจอก ราก ผัก

การสืบพันธุ์
                 1.ความแตกต่างลักษณะเพศ การสังเกตลักษณะความระหว่างปลาบู่เพศผู้กับ เพศเมียดูได้จากอวยวะเพศที่อู่ใกล้รูทวารปลาเพศผู้มี อวัยวะ เพศเป็นแผ่นเนื้อขนาดเล็กสามเหลี่ยมปลายแหลม ส่วนตัวเมียมีอวัยะเพศเป็นแผ่นเนื้อขนาดใหญ่และป้านตอนปลายไม่แหลมแต่เป็นรู ขนาดใหญ่ ลักษณะคล้าย ถ้วยน้ำชาขนาดเล็ก เมื่อพร้อมผสมพันธุ์ ปลายอวัยะเพศทั้งตูผู้และเมียมีสีแดง บางครั้งเห็นเส้นเลือดฝอยสีแดงที่มาเลี้ยงอวัยวะเพศได้ชัดเจน
                 2. การเจริญพันธุ์และฤดูกาลวางไข่ปลาบู่โตเต็ม วัยเมื่อมีความยาวประมาณ 30 เซนติเมตรขึ้นไป ปลาบู่ที่สามารถขยายพันธุ์ได้มีขนาด ตั้งแต่ 8 เซนติเมตรขึ้นไปสำหรับปลาเพศเมียที่มีรังไข่แก่ เต็มที่มีขนาดความยาวสุดปลายหาง 12.5 เซนติเมตร น้ำหนัก 34 กรัมและเพศผู้มีถุงน้ำเชื้อแก่เต็ม ที่มีความยาว 14.5 เซนติเมตร น้ำหนัก 44 กรัมปลาบู่จะเริ่มสร้างอวัยวะเพศภายในตั้งแต่เดือนมกราคมซึ่งในระยะแรกยัง ไม่สามารถแยกออกได้ว่าเป็นรังไข่ หรือถุงน้ำเชื้อ เมื่อถึงเดือนมีนาคมจึงจะแยกออกได้โดยรังไข่จะมีจุดสีขาวเล็ก ๆ แล้วเจริญเป็นเม็ดไข่ต่อไป แต่ถ้าเป็นถุงน้ำเชื้อก็จะเป็นสีขาวทึบขึ้นจากเดิม รังไข่ที่แก่จัดมีสีเหลืองเข้ม มีเม็ดไข่อยู่เต็มและมีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยง ส่วนถุงน้ำเชื้อที่แก่จัดจะมีลักษณะเป็นลายมีรอยหยักเล็กน้อย และมีสีขาวทึบ  ปลาบู่ สามารถวางไข่ได้เกือบตลอดทั้งปียกเว้นในช่วงฤดูหนาว ตลอดฤดูกาลวางไข่ปลาบู่สามารถวางไข่ได้ประมาณ 3 ครั้งต่อปี
                 3. พฤติกรรมการผสมพันธุ์และวางไข่ การผสมพันธุ์ปลาบู่ในธรรมชาติพบว่าปลาบู่ตัวผู้จะหาสถานที่ในการวางไข่ ได้แก่ ตอไม้ เสาไม้ ทางมะพร้าว ฯลฯ แล้วทำความสะอาดวัสดุดังกล่าว หลังจากนั้นตัวผู้จะเข้าเกี้ยวพาราสีพร้อมไล่ต้อนตัวเมียให้ไปที่รังที่ เตรียมไว้เพื่อการวางไข่การผสมพันธุ์ ปลาบู่เริ่มตั้งแต่ตอนหัวค่ำจนถึงตอนเช้ามืด โดยผสมพันธุ์แบบภายนอกตัวปลา คือตัวเมียปล่อยไข่ออกมาติดกับวัสดุแล้ว ตัวผู้ปล่อยน้ำเชื้อออกมาผสมโดยที่ไข่ ปลาบู่จะติดกับตอไม้ เสาไม้หรือวัสดุอื่น ๆ ที่ปลาบู่สามารถวางไข่ติด และตัวผู้จะเฝ้าดูแลไข่ โดยใช้ครีบหูหรือครีบหางพัดโบก ไปมา ไข่ที่ได้รับการผสมจะ ฟักเป็นตัวภายในเวลา 28 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิ 25 - 27 องศาเซลเซียส
                 4. ความดกของไข่ ปลาบู่เป็นปลาที่มีรังไข่แบบ 2 พู ปลาบู่ที่มีขนาด ความยาว 15.2 เซนติเมตร มีน้ำหนักรังไข่ 1.6 กรัม และมีจำนวนไข่ ประมาณ 6,800 ฟอง และปลาที่มีความยาว 21.5 เซนติเมตร มีน้ำหนักรังไข่ 4.7 กรัม คิดเป็นไข่ประมาณ 36,200 ฟอง วิวัฒนาการของไข่ปลาบู่ไข่ที่ยัง ไม่ได้รับการผสมมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.83 มิลลิเมตร  ความยาวของไข่ประมาณ 1.67 มิลลิเมตรเมื่อยึดติดกับวัสดุลูกปลาบู่ใช้เวลาฟักออกเป็นตัว หลุดออกจากเปลือกไข่จมลงสู่พื้นประมาณ 32 ชั่วโมง ถึง 5 วัน แล้วลอยไปตามกระแสน้ำ ลูกปลาอายุ 2 วันหลังฟัก ลูกปลา เริ่มกินอาหาร เนื่องจากถุงไข่แดง ยุบหมดและเห็นปากชัดเจนมีการว่ายน้ำใน ลักษณะแนวดิ่ง คือพุ่งขึ้นและจมลง มีความยาวเฉลี่ย 4 มิลลิเมตร อายุประมาณ 7 วัน ลูกปลามีความยาวประมาณ 4.6 มิลลิเมตร มีลายสี ดำเข้มที่บริเวณส่วนท้องด้านล่างไปจนถึงโคนครีบหางตอนล่าง อายุประมาณ 15 วัน ลูกปลามีความยาวเพิ่มขึ้นเป็น 5.05 มิลลิเมตร อายุประมาณ 20 วัน ลูกปลามีความยาวเพิ่มขึ้นเป็น 7.6 มิลลิเมตร อายุประมาณ 30 วัน ลูกปลามีความยาวประมาณ 8 - 10 มิลลิเมตร เกิดลายพาดขวางลำ ตัวคล้ายพ่อแม่ ส่วนเนื้อใสไม่มีลายและสามารถมองเห็นอวัยวะภายใน อายุประมาณ 37 - 45 วัน ลูกปลามีลักษณะคล้ายพ่อแม่เพียงแต่มีขนาดเล็ก ส่วนที่เป็น เนื้อใสเปลี่ยนเป็นขุ่นสีน้ำตาลเหลือง


การเพาะเลี้ยงปลาบู่ 




                  เดิมการเลี้ยงปลาบู่ใช้วิธีช้อนลูกปลาตามรากหญ้า รากพันธุ์ไม้น้ำในลำคลองหนองบึง ในปัจจุบันเนื่องจากสภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม การใช้ เครื่องมือจับปลาผิดประเภทและการทำการประมงเกินศักยภาพ ทำให้ลูกปลาในธรรมชาติมีปริมาณลดลง แต่เนื่องจากความต้องการปลาบู่เพื่อการบริโภค และการส่งออกมีจำนวนสูงยิ่ง ๆ ขึ้น จึงทำให้มีการขยายตัวด้านการเลี้ยงปลาบู่ ซึ่งกรมประมงได้ประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์ปลาบู่ แต่ก็ยังไม่เพียง พอต่อความต้องการ
การเพาะพันธุ์ปลาบุ่มี 2 วิธี คือ     
                 1. วิธีการฉีดฮอร์โมน
                 2. วิธีการเลียนแบบธรรมชาติ
                   สถานีประมงน้ำจืดจังหวัดปทุมธานี ได้พัฒนาการเพาะพันธุ์ปลาบู่เป็นเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จ โดยเน้นการเพาะพันธุ์วิธีเลียนแบบธรรม ชาติซึ่งให้จำนวนรังไข่ได้มากกว่าวิธีฉีดฮอร์โมนผสมเทียม และสามารถอนุบาลลูกปลาบู่โดยการใช้อาหารธรรมชาติมีชีวิตได้อย่างมี ประสิทธิภาพซึ่งมีวิธี ดำเนินการ ดังนี้
                  การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่ดีมีผลทำให้อัตราการฟักและอัตรารอดตายสูงและได้ ลูกปลาที่แข็งแรง พ่อแม่พันธุ์ปลาบู่ที่ดี ควรมีลักษณะ
                    1.1 ควรเป็นปลาวัยเจริญพันธุ์ เพราะไข่ที่ได้มีอัตราฟักและอัตรารอดตายสูง
                    1.2 พ่อแม่พันธุ์ควรมีน้ำหนักอยู่ในช่วง 300 - 500 กรัม แต่ไม่ควรเกิน 1 กิโลกรัม และไม่ควรเป็นปลาที่อ้วนหรือผอมเกินไป
                    1.3 เมื่อจับพ่อแม่พันธุ์ขึ้นมาจากที่กักขังใหม่ ๆ ควรรีบคัดปลาที่มีสีนวลดูปราดเปรียว และควรเป็นปลาที่ปรับสีสู่สภาพเดิมได้เร็วเมื่อหาย ตกใจ ไม่ควรคัดพ่อแม่พันธุ์ที่มีสีเหลืองซีดผิดปกติ
                    1.4 เมื่อลูบตามตัวปลาจากหัวไปหางแล้วรู้สึกตัวปลาลื่นแสดงว่าเป็นปลาที่มี สุขภาพดี
                    1.5 บริเวณนัยต์ตาไม่ขาวขุ่น
                    1.6 ไม่ใช่ปลาที่จับได้ โดยการใช้ไฟฟ้าช็อตเพราะเมื่อเลี้ยงไปสักระยะหนึ่งแล้ว ปลาจะตายมากหรือตายหมดทั้งกระชัง
                    1.7 ไม่มีพยาธิภายนอกหรือเชื้อราเกาะตามลำตัว ถ้ามีปริมาณไม่มากควรกำจัด รักษา และป้องกันก่อนนำไปทำเป็นพ่อแม่พันธุ์
                    1.8 บริเวณครีบอก ครีบหู ครีบหาง และครีบท้องไม่ควรมีบาดแผลฉีกลึกถึงโคนครีบ
                    1.9 ตามลำตัวไม่ควรมีบาดแผลถึงแม้จะเป็นบาดแผลเล็ก ๆ ก็ตามเพราะทำให้ติดเชื้อโรคและลุกลามถึงตายในที่สุด ถ้าจำเป็นควรรักษาให้ หายก่อนนำไปเป็นพ่อแม่พันธุ์
                  การเตรียมบ่อพ่อแม่พันธุ์ การเตรียมบ่อพ่อแม่พันธุ์โดยวิธีเลียนแบบธรรมชาติ ขนาดบ่อเพาะพันธุ์ไม่ควรใหญ่หรือเล็กจนเกินไปเพื่อ สะดวกต่อการดูแล และจัดการกับพ่อแม่พันธุ์ สำหรับบ่อขนาด 800 ตารางเมตร ปล่อยพ่อแม่พันธุ์ 150 คู่ ให้ผลผลิตดีที่สุด การเตรียมบ่อควรวิดบ่อให้แห้ง พร้อมกำจัดศตรูปลาออกให้หมด และที่สำคัญควรเก็บวัสดุที่ปลาสามารถใช้เป็นที่วางไข่ได้ออกให้หมด เช่น พวกรากไม้ ตอไม้ หิน พืชน้ำ ทางมะพร้าว หรือ วัสดุอื่น เนื่องจากปลาจะวางไข่ที่วัสดุที่ไม่ได้จัดเตรียมไว้ซึ่งยุ่งยากต่อการรวบรวม รังไข่ปลาบู่และการฟักไข่อีกด้วย ควรตากบ่อทิ้งไว้ 2-3 วัน แล้วใส่ปูนขาว ในอัตรา 50-100 กิโลกรัม/ไร่ ใส่ปุ๋ยคอกในอัตรา 100-150 กิโลกรัมต่อไร่ จากนั้นเปิดน้ำเข้าบ่อและควรกรองน้ำด้วยตะแกรงตาถี่ เพื่อป้องกันไข่ปลาและลูก ปลาชนิดอื่น ซึ่งถือว่า
เป็นศัตรูโดยตรง ต่อไข่ปลาบู่ เนื่องจากลูกปลาเหล่านี้เข้ามากินไข่ปลาบู่ได้ถึงแม้ว่าพ่อแม่พันธุ์ปลาบู่ คอยเฝ้ารังไข่อยู่ก็ตาม อีกทั้งยังเป็น ศัตรูทางอ้อม คือ ไปแย่งอาหารปลาบู่อีก ด้วย สำหรับระดับน้ำในบ่อควรให้อยู่ช่วง 1.00 - 1.10 เมตร แล้วทิ้งไว้ 2 - 3 วัน เพื่อให้เกิดอาหารธรรมชาติขึ้น ในบ่อและควรทำการวิเคราะห์คุณสมบัติ ของน้ำก่อนปล่อยปลาเพื่อให้แน่ใจว่าน้ำนั้นมีความเหมาะสมแล้วจึงปล่อยพ่อแม่ พันธุ์
                   การเลี้ยงและดูแลพ่อแม่พันธุ์ การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาบู่ควรให้อาหารผสมซึ่งมีสูตรอาหารดังนี้
                             ปลาเป็ด 94 เปอร์เซ็นต์
                             รำละเอียด 5 เปอร์เซ็นต์
                             วิตามินเกลือแร่ 1 เปอร์เซ็นต์
                  อาหารผสมดังกล่าวให้ในอัตรา 5 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำหนักปลาทุกวันหรือ 10 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักปลาทุก 2 วัน เมื่อปลามีความคุ้นเคยกับ สูตรอาหารดังกล่าวแล้ว ถ้าหากผู้เลี้ยงต้องการเปลี่ยนสูตรอาหารควรเปลี่ยนทีละน้อยโดยเพิ่มอาหาร สูตรใหม่ในอาหารสูตรเดิมสำหรับมื้อแรกที่จะเปลี่ยน อาหาร ควรมีอัตราส่วนอาหารเดิมต่ออาหารใหม่ไม่เกิน 1:1 โดยน้ำหนักเนื่องจากปลาบู่จะไม่ยอมรับอาหารที่เปลี่ยนให้ใหม่ทันที นิสัยปลาบู่ชอบออกหากิน ตอนเย็นและในเวลากลางคืน ควรให้อาหารปลาบู่ตอนเย็น ส่วนการจัดการน้ำในบ่อควรเปลี่ยนถ่ายน้ำเดือนละประมาณหนึ่งในสี่ของปริมาตร น้ำในบ่อ ซึ่งน้ำ ที่เข้าบ่อควรมีการกรองหลายชั้นเพื่อป้องกันศัตรูปลาทั้งทางตรงและทางอ้อม เข้ามากับน้ำ พร้อมทั้งล้อมรั้วรอบ ๆ บ่อพ่อแม่พันธุ์เพื่อป้องกันศัตรูปลาเข้าบ่อ เช่น ปลาช่อน ปลาหมอ งูกินปลา ตะกวด ฯลฯ ไม่ให้เข้ามาทำร้ายพ่อแม่พันธุ์ที่เลี้ยงไว้
                    การเพาะพันธุ์ปลาบู่ การเพาะพันธุ์ปลาบู่มี 2 วิธี คือการฉีดฮอร์โมนและการเลียนแบบธรรมชาติ สำหรับวิธีหลังสามารถผลิตพันธุ์ปลา บู่ได้จำนวน มากและได้อัตราการรอดตายสูง
                       4.1 วิธีการฉีดฮอร์โมน  การเพาะพันธุ์ปลาบู่เริ่มครั้งแรกในปี พ.ศ. 2515 โดยนำปลาบู่เพศผู้ที่มีน้ำหนัก 168 และ 170 กรัม เพศเมีย 196 กรัม และ202 กรัม มาทำการฉีดฮอร์โมนเพียงครั้งเดียวด้วยต่อมใต้สมองของปลาในขนาด 1,500 กรัม ร่วมกับคลอลิโอนิค โกนาโดโทรปิน (Chorionic Gonadotropin, C.G.0) จำนวน 250 หน่วยมาตรฐาน (International Unit, I.U.)ฉีดเข้าตัวปลาโดยเฉลี่ยตัวละ 62.5 หน่วยมาตรฐาน หลังจากฉีดฮอร์โมนแล้วนำพ่อแม่พันธุ์ไปปล่อยลงในบ่อซีเมนต์ขนาด 2 x 3 ตารางเมตร น้ำลึก 75 เซนติเมตรและใช้ทางมะพร้าวเป็นวัสดุให้แม่ปลาบู่วางไข่ ปรากฏว่าแม่ปลาที่มีน้ำหนัก 202 กรัม วางไข่ประมาณ10,000 ฟอง มีอัตราการฟัก 90 เปอร์เซ็นต์
                       4.2 วิธีการเลียนแบบธรรมชาตหลังจากปล่อยพ่อแม่ พันธุ์ปลาบู่ได้ 3 วันแล้ว ปักกระเบื้องแผ่นเรียบขนาด 40 x 60 เซนติเมตรหรือ วัสดุอื่นที่ง่ายต่อการโยกย้ายลำเลียง เช่น หลักไม้ ตอไม้ ฯลฯ เพื่อให้ปลาบู่มาวางไข่ นำแผ่นกระเบื้องเหล่านี้ไปปักไว้เป็นจุด ๆ รอบบ่อแต่ละจุดปักเป็นกระโจม สามเหลี่ยมและหันด้านที่ขรุขระไว้ข้างใน โดยปักด้านกว้างในดินก้นบ่อ พร้อมทั้งทำเครื่องหมายปักหลักไม้ไว้แสดงบริเวณที่ปักกระเบื้องเพื่อสะดวกใน การ ตรวจสอบและเก็บรังไข่ เมื่อปลาบู่มีความค้นเคยกับกระเบื้องแผ่นเรียบแล้ว ในตอนเย็นจนถึงตอนเช้ามืดปลาบู่ส่วนใหญ่เริ่มทำการวางไข่ผสมพันธุ์ที่ กระเบื้อง แผ่นเรียบส่วนใหญ่ปลาบู่วางไข่ติดด้านในของกระโจมกระเบื้อง รังไข่ปลาบู่ส่วนใหญ่เป็นรูปวงรี แต่จะมีบางครั้งเป็นรูปวงกลมลักษณะไข่ปลาบู่เป็นรูปหยด น้ำสีใส ด้านแหลมของไข่มีกาวธรรมชาติติดอยู่ไว้ใช้ในการยึดไข่ให้ติดกับวัสดุ ช่วงเช้าหรือเย็นของทุกวันให้ทำการตรวจสอบแผ่นกระเบื้องและนำกระเบื้อง ที่มีรังไข่ปลาบู่ติดไปฟัก การลำเลียงรังไข่ปลาบู่ควรให้แผ่นกระเบื้องที่มีไข่ปลาแช่น้ำอยู่ตลอดเวลา ข้อควรระวังในการเก็บรังไข่ขึ้นมาฟัก คือเมื่อพบกระเบื้อง ที่มีรังไข่ติดอยู่แล้ว ต้องนำขึ้นไปฟักทันที เพระถ้านำกลับลงไปปักไว้ที่เดิมพ่อแม่ปลาบู่ที่เฝ้าอยู่ใกล้ ๆ จะมากินไข่หมด ในกรณีกระเบื้องแผ่นเรียบที่ผ่านการ ใช้งานมานานควรทำความสะอาดโดยแช่แผ่นกระเบื้องในสารเคมีกำจัดเชื้อรา ได้แก่ มาลาไค้ท์กรีน ชนิดปราศจากธาตุสังกะสี ความเข้มข้น 2.4 พีพีเอ็ม ตลอดคืน ก่อนนำไปปักเป็นกระโจมในบ่อดิน
.                    การฟักไข่ การฟักไข่ปลาบู่ทำในตู้กระจกขนาดกว้าง 47 เซนติเมตร ยาว 77 เซนติเมตร ลึก 60 เซนติเมตร โดยใส่น้ำลึก 47 - 50 เซนติเมตร ก่อนนำรังไข่มาฟักต้องฆ่าเชื้อด้วย มาลาไค้ท์กรีน ชนิดปราศจากสังกะสี ความเข้มข้น 1 พีพีเอ็ม โดยวิธีจุ่ม การฟักไข่ต้องให้อากาศตลอดเวลา ตู้ กระจกขนาดดังกล่าว 1 ตู้ใช้ฟักรังไข่ปลาบู่ 4 รัง เมื่อไข่ฟักเป็นตัวจนหนาแน่นตู้กระจกแล้วก็รวบรวมลูกปลาไปอนุบาลในบ่อ ซีเมนต์ขนาด 6 ตางรางเมตร เนื่องจากไข่ปลาฟักเป็นตัวไม่พร้อมกัน จึงจำเป็นต้องคอยย้ายรังไข่ออกไปฟักในตู้กระจกอันเนื่องมาจากของเสียที่ไข่ ปลาและลูกปลาขับถ่ายออกมาและการ สลายตัวของไข่เสีย โดยปกติไข่ปลาจะใช้เวลาฟักออกมาเป็นตัวหมดทั้งรังประมาณ 3 - 5 วัน


การอนุบาล
                   การอนุบาลลูกปลาบู่แบ่งตามอายุของลูกปลาเป็น 3 ระยะคือ
                        1. การอนุบาลในบ่อซีเมนต์ขนาดเล็ก
                        2. การอนุบาลในบ่อซีเมนต์ขนาดใหญ่
                        3. การอนุบาลในบ่อขนาดใหญ่หรือในบ่อดิน
                   การอนุบาลในบ่อซีเมนต์ขนาดเล็ก การอนุบาลช่วงนี้เป็นช่วงที่สำคัญในการเพาะขยายพันธุ์ปลาบู่ การอนุบาลลูกปลาให้ได้อัตราการ รอดตายต่ำหรือสูงขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 4 ประการ คือ อัตราการปล่อย การจัดการน้ำในการอนุบาล การให้อากาศ ชนิดอาหารและการให้อาหาร
                     1.1 อัตราการปล่อยลูกปลาบู่วัยอ่อน  ควรปล่อยอัตรา 20,000 ตัว ต่อ 6 ตารางเมตร หรือ ปริมาณ 3,300 ตัว/ตารางเมตร
                     1.2 การจัดการน้ำในการอนุบาล เนื่องจากลูกปลาบู่วัยอ่อนมีขนาดเล็กมากและบอบช้ำง่าย ดังนั้น การจัดการระบบน้ำต้องทำอย่างนุ่ม นวลเพื่อไม่ให้ลูกปลาบอบช้ำ ในการอนุบาลวันแรกควรเติมน้ำต้องทำอย่างนุ่มนวลเพื่อไม่ให้ลูกปลาบอบช้ำ ในการอนุบาลวันแรกควรเติมน้ำโดยกรองผ่านผ้า โอลอนแก้วให้ได้ระดับน้ำเฉลี่ย 20 - 25 เซนติเมตร จนได้ระดับน้ำเฉลี่ย 40 - 45 เซนติเมตรจึงเริ่มถ่ายน้ำ 50 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณน้ำทั้งหมดทุกวันจน ลูกปลาอายุได้ 1 เดือน การเพิ่มระดับน้ำในระยะแรกควรเปิดน้ำเข้าช้า ๆอย่าเปิดน้ำรุนแรงเพราะลูกปลาในช่วงระยะนี้บอบบางมากและเพื่อไม่ให้ของเสีย ที่อยู่ ก้นบ่อฟุ้งกระจายขึ้นเป็นอันตรายต่อลูกปลาวัยอ่อน ส่วนการถ่ายเทน้ำในบ่อควรถ่ายน้ำออกโดยใช้วิธีกาลักน้ำผ่านกล่องกรองน้ำ การสร้างกล่องกรองน้ำนี้ควร ให้มีขนาดพอเหมาะกับบ่ออนุบาลเพื่อสะดวกในการทำงานและขนย้าย กล่องกรองน้ำทำด้วยโครงไม้หรือท่อพีวีซีบุด้วยผ้าโอลอนแก้ว การถ่ายน้ำออกควรทำ อย่างช้าๆ เพราะลูกปลาบู่วัยอ่อนสู้แรงน้ำที่ดูดออกทิ้งไม่ได้ ลูกปลาจะไปติดตามแผงผ้ากรองตายได้ ในช่วงท้ายของการอนุบาลประมาณ 1 - 2 อาทิตย์ สามารถ เปลี่ยนผ้ากรองให้มีขนาดตาใหญ่ขึ้นอีกเล็กน้อยจากเดิม โดยให้มีความสัมพันธ์กับขนาดลูกปลาบู่
                     1.3 การให้อากาศ การให้อากาศในบ่ออนุบาลสำหรับ ลูกปลาวัยอ่อนในช่วงครึ่งเดือนแรกจำเป็นต้องปล่อยให้อากาศผ่านหัวทรายอย่าง ช้า ๆ และค่อย ๆ เพราะลูกปลาระยะนี้ยังไม่สามารถว่ายทวนกระแสน้ำที่เคลื่อนตามแรงดันอากาศมาก ๆ ได้
                     1.4 ชนิดอาหารและการให้อาหาร อาหารที่ใช้ในการอนุบาลลูกปลาบู่ส่วนใหญ่เป็นอาหารธรรมชาติมีชีวิต ยกเว้นระยะแรกที่ลูกปลา เพิ่งฟักจะให้อาหารไข่ระยะต่อมาให้โรติเฟอร์และไรแดง
                             วิธีการเตรียมอาหารและการให้อาหารมีชีวิต
                         1.4.1 อาหารไข่ ตีไข่แดงและไข่ขาวให้เป็นเนื้อเดียวกัน และใช้น้ำร้อนเติมลงไปขณะที่ตีไข่ในอัตราส่วนน้ำร้อน 150 ซีซีต่อไข่ 1 ฟอง นำอาหารไข่ไปกรองด้วยผ้าโอลอนแก้วแล้วกรองด้วยผ้ากรองแพลงก์ตอนขนาดตา 59 ไมครอน อีกครั้งหนึ่ง นำไปอนุบาลลูกปลาช่วง 3 วันแรกของการ อนุบาลในช่วงเช้า กลางวันและเย็น ปริมาณที่ให้โดยเฉลี่ย 40 ซี.ซี. ต่อบ่อต่อครั้ง
                         1.4.2 โรติเฟอร์น้ำจืด โรติเฟอร์เป็นแพลงก์ตอนสัตว์ขนาดเล็กมีหลายชนิดทั้งที่อาศัยอยู่ในน้ำกร่อย และน้ำจืด ส่วนโรติเฟอร์น้ำจืด ที่นำมาใช้อนุบาลลูกปลาบู่วัยอ่อนคือ Brachinonus calyciflorus ในการเพาะโรติเฟอร์นั้นต้องเพาะสาหร่ายเซลล์เดียวที่เรียกว่า คลอเรลล่ารือที่เรียก กันทั่วไปว่าน้ำเขียว เพื่อให้ เป็นอาหารของโรติเฟอร์
                            วิธีการเพาะน้ำเขียวคลอเรลล่า มีขั้นตอนดังนี้
                            1. เติมน้ำลงในบ่อให้มีระดับน้ำประมาณ 20 เซนติเมตร
                            2. ละลายปุ๋ยตามสูตรใดสูตรหนึ่ง
                            สูตรที่ 1 : ปุ๋ย N-P-K สูตร 16 - 20 - 0 จำนวน 3 ก.ก.
                                         รำละเอียด จำนวน 3 ก.ก.
                                         ปูนขาว จำนวน 3 ก.ก.
                            สูตรที่ 2 : อามิ - อามิ หรือกากผงชูรส จำนวน 20 ลิตร
                                         ยูเรีย จำนวน 1.5 ก.ก.
                                         ปุ๋ย N-P-K สูตร 16 - 20 - 0 จำนวน 1.5 ก.ก.
                                         ปุ๋ยซุปเปอร์ฟอสเฟต จำนวน 260 กรัม
                                         ปูนขาว จำนวน 3 ก.ก.
                           3. ใส่น้ำเขียวคลอเรลล่า ที่มีความหนาแน่นประมาณ 5 x 10 เซลล์/1 ซี.ซี.ประมาณ 2 ตัน ทิ้งไว้ 2 - 3 วันระหว่างนั้นต้องคนบ่อยๆ เพื่อป้องกันการตกตะกอนของน้ำเขียว เมื่อสีน้ำเข้มขึ้นให้เพิ่มระดับน้ำเป็น 40 เซนติเมตร และใส่ปุ๋ยในปริมาณครึ่งหนึ่งของปุ๋ยที่ใช้ในข้อ 2
                           4. ทิ้งไว้ 2 - 3 วัน น้ำจะมีสีเขียวเข้มให้นำโรติเฟอร์ที่กรองจนเข้มข้นประมาณ 20 ลิตร (ความหนาแน่น 3,621 ตัวต่อซี.ซี.) มาใส่ ในบ่อเพาะน้ำเขียวถ้าเป็นไปได้ควรมีการเพิ่มอากาศลงในบ่อเพาะ
                           5. เมื่อโรติเฟอร์ขยายตัวเต็มที่ น้ำจะเป็นสีชาและมีฟองอากาศลอยตามผิวน้ำมาก ก็ให้การกรองโรติเฟอร์ไปใช้ประโยชน์ในการเลี้ยง ลูกปลาบู่วัยอ่อนด้วยผ้าแพลงก์ตอน 59 ไมครอน  หลังจากโรติเฟอร์เหลือจำนวนน้อยในบ่อให้ล้างบ่อและดำเนินการเพาะโรติเฟอร์ ขึ้นใหม่ทั้งนี้ควรให้ โรติ เฟอร์ น้ำจืดอนุบาลลูกปลาบู่ในตอนเช้า กลางวัน และเย็นมื้อละ 4 - 6 ลิตร/บ่อ/ครั้ง สำหรับลูกปลาอายุ 2 - 12 วัน หลังจากนั้นค่อยๆ ลดปริมาณให้โรติเฟอร์ จนลูกปลาอายุได้ 30 - 37 วัน
                       1.4.3 ไรแดง ไรแดงเป็นแพลงก์ตอนสัตว์อีกชนิดหนึ่งมีขนาดเล็กแต่ขนาดใหญ่กว่าโรติเฟอร์ อย่างเห็นได้ชัด ชอบอยู่รวมกลุ่มมีสีแดง สำหรับวิธีเพาะไรแดง มีขั้นตอน คือ
                          1. ทำความสะอาดบ่อซีเมนต์และตากทิ้งไว้ 1 วัน
                          2. กรองน้ำด้วยถุงกรองผ้าโอลอนแก้วให้ได้ระดับน้ำ 20 เซนติเมตรและละลายปุ๋ยตามสูตรใดสูตรหนึ่ง ดังนี้
                          สูตรที่ 1 : อามิ - อามิ หรือกากผงชูรส จำนวน 5 ลิตร
                                       ปุ๋ย N-P-K สุตร 16 - 20 - 0 จำนวน 2 ก.ก.
                                       รำละเอียด จำนวน 5 ก.ก.
                                       ปูนขาว จำนวน 3 ก.ก.
                          สูตรที่ 2 : อามิ - อามิ จำนวน 20 ลิตร
                                       ปุ๋ย N-P-K สูตร 16 - 20 - 0 จำนวน 1.5 ก.ก.
                                       ยูเรีย จำนวน 1.5 ก.ก.
                                       ปุ๋ยซุปเปอร์ฟอสเฟส จำนวน 260 กรัม
                                       ปูนขาว จำนวน 3 ก.ก.
                       3. เติมน้ำเขียวลงบ่อประมาณ 1 - 2 ตัน คนบ่อย ๆ ประมาณ 3 วัน คลอเรลล่าขยายตัวเต็มที่ซึ่งสีน้ำจะมีสีเขียวเข้ม
                       4. ใส่ไรแดงประมาณ 1.5 - 2.0 กิโลกรัม
                       5. ประมาณ 2 - 3 วัน ต่อมา ไรแดงจะยายตัวเต็มที่แล้วดำเนินการรวบรวมไรแดงจนหมดบ่อ หลังจากนั้นเริ่มต้นเพาะไรแดงใหม่ต่อไป
                   การให้ไรแดงควรให้เมื่อลูกปลามีอายุ 12 วันขึ้นไป และควรให้ไรแดงในปริมาณ 200 กรัม/6 ตารางเมตร/ครั้ง ในตอนเช้า กลางวัน และ เย็น จนลูกปลามี อายุประมาณ 25 วัน จึงลดปริมาณลงตามความเหมาะสม ลูกปลาบู่อายุ 30 - 37 วัน มีความยาวประมาณ 8 - 10 มิลลิเมตรจึงย้ายลูกปลาบู่ ไป อนุบาลในบ่อขนาดใหญ่
                  การอนุบาลในบ่อซีเมนต์ขนาดใหญ่ เมื่อลูกปลาอายุได้ประมาณ 1 เดือนก็ทำการย้ายไปอนุบาลต่อในบ่อซีเมนต์ขนาด 50 ตารางเมตร ที่มีระดับน้ำประมาณ 40 - 50 เซนติเมตรโดยคัดลูกปลาให้มีขนาดใกล้เคียงกัน แล้วปล่อยลูกปลาในอัตราตารางเมตรละ 100 - 160 ตัว ในช่วงสัปดาห์แรก ให้อาหารธรรมชาติมีชีวิต ได้แก่ ไรแดง หนอนแดง ฯลฯ ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวปลาช่วงสัปดาห์ที่สองเริ่มฝึกให้กินอาหารสมทบที่มี สูตร อาหารประกอบด้วยปลาเป็ด 94 เปอร์เซ็นต์ รำละเอียด 5 เปอร์เซ็นต์ วิตามินเกลือแร่ 1 เปอร์เซ็นต์ การฝึกให้ลูกปลาบู่กินอาหารสมทบ ควรค่อย ๆ ลดปริมาณ ไรแดง และเพิ่มอาหารสมทบสำหรับอาหารสมทบนั้นปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ โยนให้ลูกปลาบู่รอบบ่อ และควรเปลี่ยนถ่ายน้ำทุกวัน ๆ ละ 5 - 10 เซนติเมตรการ เลี้ยงปลาบู่ใน บ่อกลางแจ้งอาจประสบปัญหาสาหร่ายชนิดที่ไม่ต้องการโดยเฉพาะพวกที่เป็นเส้นใย ขึ้นทั่วบ่อระหว่างอนุบาลลูกปลาซึ่งยากลำบากต่อการดูแล ควรใช้น้ำเขียว เติมเป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสมของคุณภาพน้ำความขุ่นและสีน้ำ อีกทั้งช่วยขยายอาหารธรรมชาติในบ่อ ได้แก่ ไรแดง อีกด้วย
                 การอนุบาลในบ่อขนาดใหญ่ หรือในบ่อดิน การอนุบาลลูกปลาบู่ขนาด 2.5 เซนติเมตรขึ้นไปส่วนใหญ่เลี้ยงในบ่อซีเมนต์และบ่อดินส่วน การเลี้ยงในกระชัง นั้นปรากฏว่าไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ มีอัตรารอดและอัตราการเจริญเติบโตต่ำไม่เหมาะสมที่จะใช้อนุบาลลูกปลาขนาดดัง กล่าว
                   
สำหรับการ อนุบาลลูกปลาขนาดดังกล่าวในบ่อซีเมนต์ลูกปลาจะมี อัตรารอดสูงกว่าบ่อดินและรวบรวมปลาบู่ได้สะดวก แต่อัตราการเจริญ เติบโตช้าโดยปล่อยลูกปลาขนาด 5 เซนติเมตร จำนวน 3,000 ตัว หรือตารางเมตรละ60 ตัว ให้อาหารปลาประกอบด้วย ปลาเป็ด 94 เปอร์เซ็นต์ รำละเอียด 5 เปอร์เซ็นต์ วิตามินเกลือแร่ 1 เปอร์เซ็นต์ ระยะเวลาเลี้ยง 90 วัน อัตรารอด ประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ ลูกปลาที่มีน้ำหนักเฉลี่ย 1.46 กรัม เพิ่มขึ้นเป็น 4.97 กรัม ความยาวเฉลี่ย 5 เซนติเมตรเพิ่มเป็น 7.55 เซนติเมตร นอกจากนี้การติดตั้งระบบน้ำหมุนเวียนโดยดึงน้ำจากบ่อพักมาเลี้ยงลูกปลาบู่ แล้วปล่อยกลับสู่บ่อดินหมุน เวียนตลอดเวลาก็สามารถทำได้ ส่วนการอนุบาลลูกปลาบู่ในบ่อดินได้อัตรารอดไม่สูงนักและรวบรวมลูกปลา ได้ลำบากแต่มีการเจริญเติบโตเร็ว                    จากการทดลองเลี้ยงปลาบู่ในบ่อดินของสถานีเพาะเลี้ยงปลา จังหวัดปทุมธานี ใช้เวลาเลี้ยง 2 เดือน โดยใส่ปุ๋ยมูลไก่แห้งเพื่อให้เกิดอาหาร ธรรมชาติ และให้อาหารสมทบ(ปลาเป็ด 94 เปอร์เซ็นต์ รำละเอียด 5 เปอร์เซ็นต์ วิตามินเกลือแร่ 1 เปอร์เซ็นต์) ในอัตรา 10 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักปลาพบ ว่าได้อัตรา รอดเฉลี่ย 44 เปอร์เซ็นต์น้ำหนักลูกปลาเริ่มปล่อย 0.04 - 0.39 กรัม ได้น้ำหนักเฉลี่ย 2.4 กรัม จากการศึกษาอัตราปล่อยลูกปลาบู่ขนาด 1.5 - 3.0 เซนติเมตรในบ่อดินพบว่าอัตราปล่อย 10,000 ตัวต่อบ่อดินครึ่งไร่หรือตารางเมตรละ 12.5 ตัวใน เวลา 1 เดือน ได้อัตรารอดมากที่สุด คือ 61.06เปอร์เซ็นต์

การเลี้ยงปลาบู่
                  ปลาบู่มีราคาแพงจึงเป็นที่ต้องการของตลาดในประเทศและต่าง ประเทศเป็นจำนวนมาก ทำให้มีผู้สนใจเลี้ยงปลาบู่อย่างกว้างขวาง การเลี้ยง ปลาบู่มีเลี้ยงกันในบ่อซีเมนต์ บ่อดินและกระชัง แต่ที่นิยมเลี้ยงกันมากเป็นการเลี้ยงในกระชังส่วนบ่อดินก็มีผู้เลี้ยงกัน อยู่บ้างทั้งในรูปการเลี้ยงแบบเดี่ยว แบบ รวม และแบบผสมผสานสำหรับการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์มีการเลี้ยงอยู่น้อยมากเพราะลงทุน สูง และต้องการน้ำสะอาดในการเลี้ยง

โรคพยาธิและการป้องกัน 

                    เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาบู่ส่วนใหญ่มีความวิตกเรื่องโรคที่ จะเกิดขึ้น ดังนั้นการป้องกันโรคไว้ก่อนจึงเป็นทางเดียวที่จะไม่ทำให้ปลาบู่เป็นโรค ซึ่งผู้เลี้ยงต้องคอยเอาใจใส่ดูแลสุขภาพของปลาบู่การจัดการที่ดีทำให้ปลามี สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงอีกทั้งต้องหมั่นสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบของกระชัง เช่น คุณภาพน้ำทางต้นน้ำอาการเป็นโรคของปลาในธรรมชาติ สำหรับโรคพยาธิที่พบในปลาบู่ แบ่งเป็น 6 ประเภท คือ
                    1. พยาธิภายนอก
                      1.1 พยาธิภายนอกที่มองเห็นด้วยตาเปล่า ได้แก่
                           - หนอนสมอ พบมากตามซอกเกล็ด ครีบและในช่องปาก พยาธิพวกนี้จะดูดเลือดปลาทำให้ปลาอ่อนแอ
                           - เออกาซิลัส ดูดเลือดตามเหงือกปลา ถ้าเกาะนาน ๆ ทำให้ เหงือกกร่อน ก่อให้เกิดปัญหากับระบบหายใจ
                           - โกลซิเดีย เป็นตัวอ่อนของหอย 2 ฝา เกาะตามซี่เหงือก ทำให้ลดพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนออกซิเจน
                      1.2 พยาธิภายนอกที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ได้แก่ ทริกโคไดนา ฮีนีกูยา อีพัสไทลิส ชิโลโดเนลลา แดคไทโรจัยลัสอาการปลาบู่ ที่มี พยาธิเหล่านี้คือลอยหัว เกล็ดหลุด เหงือกซีด บางครั้งพบจุดขาว ๆ ประปรายทั่วไป
                    2. พยาธิภายใน ได้แก่ พยาธิตัวกลม พยาธิหัวหนาม ทำให้ปลาผอม ไม่กินอาหาร
                    3. เชื้อรา ได้แก่ แซปโปรเลกเนีย ขึ้นเป็นกระจุกมีแขนงมากมายบริเวณ ผิวหนังของลำตัว เชื้อนี้จะฝังลึกเข้าไปในเนื้อเยื่อทำให้เกล็ดหลุด เกิดบาดแผลปลาอ่อนแอ
                    4. เชื้อบัคเตรได้แก่ แอโรโมแนสไฮโดรฟิลา คอรีนีแบคทีเรียม สเตรปโต- คอคคัส อาการที่พบคือ ท้องบวม ตาโปน แผลตามลำตัว เกิด น้ำเหลืองในช่องท้อง ไตบวม เป็นต้น สำหรับเชื้อแอโรโมแนส ไฮโดรฟิลา เป็นตัวที่ก่อให้เกิดโรคใน ปลาบู่มากกว่าชนิดอื่น ๆ
                    5. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ปลาที่ป่วยเป็นโรคนี้ หาก สังเกตจะพบว่าบริเวณแผ่นปิดเหงือกเริ่มกางออกเนื่องจากโคนครีบหูบวดพองขึ้น มา คล้ายกับก้อนเนื้อพองออกโดยเฉพาะด้านหน้าโคนครีบ ก้อนมะเร็งดังกล่าวจะเติบโตมีขนาดใหญ่ทำให้แผ่นปิดเหงือก กระดูกเหงือกบนครีบหูและบริเวณส่วน หัว โรคนี้ยังไม่มีวิธีการรักษา
                    6.โรคตับ โตปลาที่เป็นโรคนี้ไม่มีความผิดปกติตามลักษณะภายนอก พบว่าเหงือกซีดกว่าปกติเนื่องจากเลือดจาง ตับโตมีสีเหลืองอ่อน ม้าม มีขนาดใหญ่และเลือดออก สาเหตุของโรคมาจากการได้รับอาหารไม่ถูกส่วน
                     การป้องกันรักษา การป้องกันไม่ให้ปลาเป็น โรคเป็นวิธีที่ดีที่สุด ซึ่งขึ้นกับสภาพแวดล้อม และความเอาใจใส่ของเกษตรกรผู้เลี้ยงปลา

การรักษาโรคปลา
                    1. การกำจัดพยาธิภายนอกสามารถกำจัดด้วยสารเคมี ใช้ฟอร์มาลิน 25 - 50 พีพีเอ็ม แช่วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 2 - 3 วัน หรือนำปลา ไปแช่ ฟอร์มาลิน 250 พีพีเอ็ม นาน 1 ชั่วโมง หรือใช้กรดเกลเซียลอะซิติค 1 ต่อ 2,000 แช่ 30 นาที หรือใช้ด่างทับทิม 3 - 5 พีพีเอ็มแช่ตลอดไป แต่ถ้าใช้ ความเข้มข้น 10 พีพีเอ็ม แช่ 30 นาที ส่วนเมทธีลีนบลู ใช้ฆ่าโปรโตซัวได้ดีโดยเฉพาะโรคอิ๊กโดยเตรียมสารละลายที่เตรียมไว้ 1 ซี.ซี. ต่อน้ำ 5 ลิตร แช่นาน 1 วัน ทำซ้ำทุก ๆ 2 วัน จนหาย ส่วนโปรโตซัวชนิดอื่น ๆ ใช้ 3 ซี.ซี.ต่อน้ำ 10 ลิตร แช่ตลอด
                    2. กำจัดพยาธิภายใน ควร ใช้ยาถ่ายพยาธิ เช่น ดีเวอร์มินผสมในอาหาร0.1 - 0.2 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักอาหาร 3 วันติดต่อกัน
                    3. การกำจัดเชื้อราใช้ มาลาไคท์กรีน 1 - 5 ส่วนต่อน้ำล้านส่วนแช่ 1 ชั่วโมง 3 ครั้งติดต่อกัน        
                    4.การกำจัดเชื้อบัคเตรี การรักษากระทำได้ผลต่อเมื่อปลาบู่ติดเชื้อระยะเริ่มแรกแต่ถ้าปล่อยไว้นานการ รักษาจะไม่ค่อยได้ผล สำหรับบัค เตรี ส่วนใหญ่ใช้ยาปฏิชีวนะ เช่นซัลฟาเมอราซิน 200 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักปลา 1 กิโลกรัม ผสมอาหารให้กินติดต่อกัน 14 วัน อิริโทรมัยซิน 10 กิโลกรัม ต่อ น้ำหนักปลา 100 กิโลกรัม ผสมอาหารให้กินติดต่อกัน 14 วัน คลอแรมฟินิคอล 5 - 10 กิโลกรัม ผสมอาหารให้กินติดต่อกัน 14 วัน คลอแรมฟินิคอล 5 - 10 กิโลกรัมต่ออาหารปลา 10 กิโลกรัม ติดต่อกัน5 - 10 วัน สำหรับคลอแรมฟินิคอล ถ้าใช้ฉีดควรใช้ 10 - 30 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักปลา 1 กิโลกรัม วันละ 1 ครั้ง 3 วัน

การรวบรวมลูกปลา
                    เครื่องมือที่ใช้ในการจับหรือรวบรวมปลาบู่ในธรรมชาติมี อยู่หลายชนิดดังนี้
                    1.ข่าย เป็นเครื่องมือทำการประมงที่นิยมใช้กันมากที่สุด ขนาดของข่ายที่นิยมใช้มีความยาว 50 - 180 เมตร ลึก 1.5 เมตร ช่องตา 2 -14 เซนติเมตร ใช้ข่ายประมาณ 4 ผืนต่อชาวประมงหนึ่งราย
                    2.เบ็ด ราว เป็นเครื่องมือทำการประมงที่พบกันทั่วไปขนาดตัวเบ็ดตั้งแต่เบอร์ 01 - 05 เบอร์ 8 และเบอร์ 20 - 24 เบ็ดราว 1 เส้นมีตัวเบ็ด 20 - 50 ตัวชาวประมงบางรายใช้เบ็ดประเภทไม่มีเงี่ยง ทำให้ปลาบู่ที่จับได้บาดเจ็บน้อยมาก
                    3. สวิงป็น เครื่องมือขนาดเล็กใช้ช้อนสัตว์น้ำขนาดเล็ก ซึ่งจะได้ปริมาณน้อยในการทำการประมงแต่ละครั้ง
                    4. ลอบ เป็น เครื่องมือที่ใช้ประกอบเครื่องกั้น เช่น เฝือกกั้นแล้วใช้ลอบวางดัก วิธีนี้ปลาบู่จะบอบช้ำหรือบาดเจ็บน้อยที่สุด
                    5. กร่ำ เป็นการนำกิ่งไม้แห้งมาสุมกันเป็นกองขนาดใหญ่ตามแหล่งน้ำปล่อยทิ้งไว้ให้ปลา เข้ามาอาศัยอยู่ หลังจากนั้นใช้อวนล้อมแล้วเอากิ่ง ไม้แห้งออกเพื่อจับปลา
                    6. แหป็น เครื่องมือจับสัตว์น้ำพื้นบ้าน ขนาดแหที่นิยมใช้ความยาว 5 - 9 ศอก (2.5 - 4.5 เมตร) ขนาดช่องตา 1.5 - 6.0 เซนติเมตร ซึ่ง นิยมใช้ทำการประมงในช่วงฤดูน้ำลดบริเวณแหล่งน้ำที่น้ำแห้ง
                    7. ยอยก เป็นเครื่องมือจับปลาที่นิยมใช้ในจังหวัดอุบลราชธานีเป็นยอขนาดใหญ่ติดอยู่ กับแพลอยตามกระแสน้ำ ใช้วางจมลงในแหล่งน้ำ เป็นเวลานาน ๆ หรือใช้แสงไฟล่อปลาในเวลากลางคืนแล้วยกยอขึ้นเพื่อจับปลา วิธีนี้ปลาปลาบู่จะบอบช้ำน้อย

การตลาด
                   ปัจจุบันปลาบู่นับวันมีราคาแพงขึ้น เนื่องจากพันธุ์ปลาที่นำไปเลี้ยงหายากและสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปแต่ความนิยม บริโภคปลาบู่มีปริมาณสูง ขึ้น โดยส่งเป็นสินค้าออกไปยังประเทศฮ่องกง สิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งผู้บริโภคเชื่อว่ามีคุณค่าทางอาหารสูง ทำให้ร่างกายแข็งแรงและเพิ่มพลังในสมัยก่อน นั้นมีการเลี้ยงปลาบู่ในกระชังกันมากเช่น จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรี-อยุธยา และปทุมธานี ต่อมาการเลี้ยงปลาบู่ประ สบปัญหาปลาเป็นโรค และตายมากจำนวนผู้เลี้ยงและผลผลิตลดลง ราคาปลาจึงสูงขึ้นตามกลไกตลาด

ราคาและผลตอบแทน
                  ราคาพันธุ์ปลาบู่ที่เกษตรกรซื้อมาเลี้ยงในกระชังตั้งแต่ ปี 2525 - 2537 ราคากิโลกรัมละ 30 - 160 บาท ส่วนราคาปลาบู่เพื่อบริโภคมีราคา ตั้งแต่ 200 - 350 บาทต่อกิโลกรัม

การขนส่งลำเลียง
                   การขนส่งลำเลียงเริ่มตั้งแต่การขนส่งลูกพันธุ์ปลาบู่ ขนาดเล็ก 1 - 2 นิ้วไปยังผู้เลี้ยง และการลำเลียงปลาบู่ขนาดตลาดไปยังกลุ่มผู้บริโภค วิธี การลำเลียงมี 2 วิธี
                  1. การลำเลียงโดยใช้ถุงพลาสติกอัดอ๊อกซิเจน เหมาะสำหรับใช้ลำเลียงลูกปลาบู่ขนาดเล็ก 1 - 2 นิ้ว และปลาบู่ขนาด 50 - 250 กรัม วิธีนี้เป็นการลำเลียงที่เหมาะสมที่สุดไม่ทำปลาบอบช้ำ ปกติใช้ถุงพลาสติกขนาด 20 x 30 เซนติเมตร ใส่น้ำสูงประมาณ 10 - 15 เซนติเมตร ถุงปลาแต่ละถุง สามารถบรรจุลูกปลาขนาด 1 - 2 นิ้ว จำนวน 500 - 700 ตัว เมื่อใส่พันธุ์ปลาแล้วอัดด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์รัดปากถุง สำหรับพันธุ์ปลาที่จับได้จากธรรมชาติ ควรบรรจุถุงละ5 - 20 ตัว แล้วแต่ขนาดพันธุ์ปลา ปริมาณน้ำในถุงพลาสติกลำเลียงไม่ควรใส่มากนักทำให้มวลน้ำในถุงมีการโยนตัวไป มามากทำให้ปลาถูก กระแทกไปมาบอบช้ำมากขึ้น สำหรับการลำเลียงพันธุ์ปลาจากธรรมชาติไปเลี้ยงในกระชังควรบรรจุถุง พลาสติกอัดออกซิเจนดีกว่าลำเลียงด้วยถาดสังกะสี
                  2. การลำเลียงโดยใช้ถาดสังกะสี เหมาะสำหรับใช้ลำเลียงปลาบู่ขนาดตลาดไปขายพ่อค้าคนกลางหรือภัตตาคาร ขนาดถาดลำเลียงมี ความกว้าง 45 เซนติเมตรยาว 70 เซนติเมตร สูง 9 เซนติเมตร ด้านข้างตามความยาวของถาดมีรูกลมขนาด 1.5 - 2.0 เซนติเมตร เรียงเป็นแถวเดี่ยว ส่วน ด้านกว้างมีหูหิ้วทั้ง 2 ข้างถาดทำด้วยสังกะสีและมีฝาครอบถาด ภายในมีแผ่นสังกะสีกั้นกลาง แบ่งออกเป็น 2 ช่อง
                  วิธีการลำเลียง นำปลาบู่มาวางเรียงกันเป็นแถวเพียงชั้นเดียวจนเต็มถาดแล้วเอาน้ำพรมให้ทั่ว และใส่น้ำพอท่วมท้องปลาเล็กน้อยจากนั้นปิด ฝาถ้าปลามีจำนวนมากก็ลำเลียงถาดขึ้นรถซ้อนเป็นชั้น ๆ วิธีนี้เหมาะสำหรับขนปลาบู่ขนาดตลาดไปขายเพราะขนได้ครั้งละจำนวนมาก ประกอบกับปลาบู่เป็น ปลาที่อดทนมากพอสมควรเมื่อลำเลียงไปถึงปลายทางแล้วถูกนำไปพักในบ่อปูนแสดง ไว้ให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อหรือใส่ภาชนะอื่น ปลาบู่ก็ยังสามารถมีชีวิตได้ นานพอสมควร

การใช้ประโยชน์
  1.                   ปลาบู่สามารถเลี้ยงรวมกับปลาอื่น เพื่อเป็นตัวควบคุมประชากรปลาเช่น การปล่อยปลาในบ่อปลานิลเพื่อควบคุมประชากรปลานิลไม่ให้มีมาก เกินไปมิฉะนั้น ปลานิลจะเติบโตช้าและไม่ได้ขนาดตามที่ต้องการ ทั้งยังได้ผลผลิตปลาบู่เป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง ปลาบู่ยังสามารถเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ได้เช่น ปลาบู่ทอง แต่ส่วนใหญ่ปลาบู่ทรายนิยมเลี้ยงเพื่อการบริโภคเพราะมีเนื้อขาวสะอาดนุ่ม อร่อย รสชาติดี สามารถนำไปแปรรูปเป็นอาหารได้หลายชนิด ซึ่งชาวจีนนิยมบริโภคโดยมีความเชื่อว่ากินแล้วช่วยบำรุงกำลังร่างกายให้แข็ง แรงและต้องบริโภคปลาบู่เป็น ๆ สด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น